“ลำไส้อักเสบ ฉันมันแค่วายร้าย เป็นได้แค่เท่านั้น”

62717 จำนวนผู้เข้าชม  | 

“ลำไส้อักเสบ ฉันมันแค่วายร้าย เป็นได้แค่เท่านั้น”

ข้อมูลสัตว์ป่วย

สุนัขชื่อ NANA พันธุ์ Chihuahua เพศเมีย อายุ 5 เดือน เคยทำวัคซีนมาแล้ว 2 เข็ม มีอาการซึม ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ประมาณ 2 วัน มีอาการอาเจียนหลังกินอาหาร ได้ตรวจชุดตรวจโรคไวรัสลำไส้อักเสบมาจากคลินิคแล้ว

การตรวจร่างกายและการวินิจฉัย

สุนัขมีภาวะขาดน้ำเนื่องจากอาการอาเจียนและถ่ายเหลวมา 2 วัน มีอาการไข้ขึ้นในขณะตรวจร่างกาย รวมถึงมีอาการปวดเกร็งช่องท้อง เมื่อคลำกดช่องท้องด้านหน้า

ผลการตรวจชุดทดสอบสำไส้อักเสบ ได้ผลบวกจากคลินิกก่อนหน้า แสดงผลว่า น้อง Nana มีการติดเชื้อไวรัสลำไส้อักเสบชนิดรุนแรง นอกเหนือจากนี้มีการตรวจอุจจาระเพิ่มเติม  พบมีแบคทีเรียแทรกซ้อนในอุจจาระเป็นปริมาณมากผลเลือดพบมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำมาก ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อไวรัส ไวรัสจะทำลายแหล่งสร้างเม็ดเลือดและระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย ทำให้มีการติดเชื้อแทรกซ้อนและเสียชีวิตได้  

การรักษา

โรคลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัส ยังไม่มียารักษาโดยตรง และเป็นโรคที่มีความรุนแรงในสุนัขเด็กและสุนัขที่ยังไม่ได้ทำวัคซีนอาจก่อให้เกิดการเสียชีวิตค่อนข้างสูง การรักษาเป็นการรักษาประคับประคอง ตามอาการ

สำหรับ Nana มีภาวะขาดน้ำ มีไข้ และพบอาการอาเจียนในห้องตรวจ สัตวแพทย์จึงพิจารณารับเข้าอยู่ในหน่วยสัตว์ป่วยในที่แยกเป็นส่วนสัตว์ป่วยติดเชื้อรุนแรง โดยให้สารน้ำเข้าทางเส้นเลือด เพื่อแก้ภาวะการขาดน้ำ ยาฉีดลดอาการคลื่นไส้อาเจียน ยาลดกรดเพื่อป้องกันแผลในกระเพาะอาหาร มีการให้ยาปฏิชีวะนะเพื่อควบคุมภาวะติดเชื้อแทรกซ้อนในทางเดินอาหาร รวมไปถึง วิตามินและสารอาหารพลังงานต่าง ๆ รวมทั้งยากระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดขาว  การรักษาใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน ขึ้นอยู่กับตัวสุนัขและความรุนแรงของโรคที่ได้รับ มีการตรวจเช็คเม็ดเลือดขาวซ้ำหลังจากฉีดยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว 3 วัน เพื่อประเมินการเสียชีวิตเนื่องจากเชื้อไวรัสจะทำลายเม็ดเลือดขาวค่อนข้างเร็วมาก ยิ่งสุนัขมีภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำมากเท่าไหร่ โอกาสเสียชีวิตจะสูงตาม

การติดตามอาการซ้ำ

หลังการรักษา 2 วันแรก สุนัขถ่ายเหลวเป็นเลือดสด มีกลิ่นเหม็น และมีอาเจียนหลายครั้ง จึงงดอาหารเพื่อป้องกันการอาเจียน ในวันที่ 3 และ 4 ไม่พบอาการอาเจียนอีก จึงเริ่มให้อาหารอ่อน ๆ เพื่อให้สุนัขได้รับสารอาหารเพิ่ม นอกเหนือจากนี้เมื่อตรวจเลือดซ้ำพบว่าปริมาณเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นมาเป็นปกติ แต่ยังพบอาการถ่ายเหลวอยู่

สุนัขอยู่โรงพยาบาลนาน 7 วัน จนกระทั่งพิจารณาเปลี่ยนเป็นยากิน และให้เจ้าของรับกลับไปดูแลต่อที่บ้าน โดยยังคงต้องสังเกตลักษณะอุจจาระและการขับถ่ายต่อเนื่อง เมื่อหายจากโรคจึงนัดกลับมาทำวัคซีนใหม่ประมาณ 1-2 สัปดาห์

เกร็ดความรู้

วายร้ายไวรัส กำจัดได้ ป้องกันได้

1.       สุนัขเด็กควรได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์สมวัย และได้รับการถ่ายพยาธิ เป็นประจำ หากเลี้ยงระบบเปิด หรือพาออกไปเที่ยวนอกบ้าน ควรมีการถ่ายพยาธิทุกเดือน หรือระบบปิด ควรถ่ายพยาธิทุก 3-6 เดือน

2.       หลีกเลี่ยงการเลี้ยงที่จะทำให้น้องหมาเครียด เช่น การเลี้ยงรวมกันจำนวนมาก การให้อาหารไม่เพียงพอ หรือเลี้ยงในที่ที่มีเสียงดัง เพราะจะทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงได้

3.       ลูกสุนัขที่อยู่ในช่วงอายุที่ยังทำวัคซีนไม่ครบ ควรหลีกเลี่ยการพาสุนัขไปเล่นกับสุนัขที่ไม่ทราบประวัติการทำวัคซีน หรือแม้แต่ตัวเจ้าของก็ไม่ควรไปจับสัมผัสสุนัขตัวอื่นในช่วงนี้

4.       หากมีรับสมาชิกสัตว์เลี้ยงเข้ามาใหม่ ควรแยกเลี้ยงอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ก่อนนำมาเลี้ยงรวมกับน้องหมาตัวอื่นๆ  เพื่อเป็นการกักโรคดูอาการหลังเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่

5.       เมื่อพบว่าน้องหมาที่ป่วยต้องแยกเลี้ยงโดยทันที เพื่อง่ายต่อการดูแลและป้องกันการแพร่เชื้อ

6.       กรณีที่มีสุนัขที่เคยป่วยด้วยโรคไวรัสแล้ว ต้องทำความสะอาดบริเวณพื้น กรง และอุปกรณ์ต่างๆ ด้วยสารฟอกขาว (Sodium hypochlorite) โดยผสมอัตราส่วน สารฟอกขาว 1 ส่วนต่อน้ำ 30 ส่วน (หรือสารฟอกขาว 4 ออนซ์ต่อน้ำ 1 แกลลอน) พ่นทิ้งไว้ 10-15 นาที แล้วจึงล้างออก แล้วนำภาชนะตากแดดฆ่าเชื้อประมาณ 1-2 สัปดาห์

7.       ทุกครั้งที่เจ้าของสัมผัสสัตว์ป่วยติดเชื้อ หรือสงสัยว่าจะมีเชื้อ ควรล้างมือ และทำความสะอาดเสื้อผ้า รองเท้าด้วย ทุกครั้งเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อไปยังสัตว์ตัวอื่น

8.       การดูแลสุนัขที่หายป่วยจากการติดเชื้อไวรัส ยังควรแยกเลี้ยงต่อไปอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ เพื่อให้มั่นใจว่าสุนัขหยุดการขับเชื้อไวรัสออกจากร่างกายไปหมดแล้ว และก่อนนำมาเลี้ยงรวมกันควรต้องอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายป้องกันเชื้อที่ยังอยู่ตามขนและผิวหนัง

9.       ควรฉีดวัคซีนให้ลูกสุนัข เริ่มตั้งแต่อายุ 6-8 สัปดาห์ แล้วให้กระตุ้นซ้ำอีก 2 ครั้ง ห่างกันครั้งละ 3-4 สัปดาห์ รวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง จากนั้นให้กระตุ้นซ้ำเป็นประจำทุกๆ ปี ไม่แนะนำให้เริ่มวัคซีนเร็วเกินไปเพราะภูมิคุ้มกันของแม่จะทำลายประสิทธิภาพของวัคซีน ทำให้การทำวัคซีนในครั้งนั้นจะไม่ได้ผล และจะไม่สามารถกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้